วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
สารบัญ ฝึกโยคะ ทั้งหมด 21 ท่า
ฝึกโยคะ ทั้งหมด 21 ท่า>>อ่านต่อ>>คลิ๊กด้านล่าง>>ได้เลยค่ะ>>
3} สวางคะอาสนะ ท่ายืนด้วยไหล่
22} อนุโลมะวิโลมะ ปราณยามะ การหายใจสลับรูจมูก
อนุโลมะวิโลมะ ปราณยามะ
การหายใจสลับรูจมูก
การหายใจสลับรูจมูก
วิทยาเกี่ยวกับการหายใจนั้นในวิชาโยคะ สืบเนื่องและมีรากฐานมาจากการควบคุม “ ปราณ ” หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ พลังชีวิต นั่นเอง การฝึกที่เริ่มต้นนับว่าสำคัญสำหรับผู้ฝึกโยคะก็คือ การฝึกหายใจสลับรูจมูก ซึ่งเรียกว่า อนุโลมะ วิโลมะ ปราณยามะ เหตุผลในการฝึกหายใจสลับรูจมูก ก็เพราะว่า ลมหายใจของเรานั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาระหว่างจมูกสองรู ซึ่งท่านอาจรู้ในเรื่องนี้ได้ด้วยตนเองอย่างง่าย ๆ โดยเอาหลังมือรอใกล้กับรูจมูกทั้งสองของท่านแล้วหายใจเข้าออกตามปรกติธรรมดา
21} ศพอาสนะ ท่าคนตาย
ศพอาสนะ
ท่าคนตาย
ท่าคนตาย
วิธีปฏิบัติ ท่าคนตายของโยคะ หมายถึงว่า ต้องการให้พักผ่อนจริง ๆ เหมือนกับคนตาย ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง หยุดเคลื่อนไหวร่างกาย แล้วหยุดคิดด้วย นอนหงายลงกับพื้น หลับตา ขาตรง แยกเล็กน้อยตามสบาย แขนวางไว้ข้างตัวตามธรรมชาติ หงายฝ่ามือขึ้นศีรษะวางตรงกับลำตัว ไม่มีหมอนหนุน จากนั้นขับความคิดต่าง ๆ ให้ออกจากสมองหรือจิตใจให้หมด แล้วหายใจเข้าออกช้า ๆ พยายามให้ระยะของการหายใจเข้ากับหายใจออก เป็นไปโดยเท่าเทียมกัน จากนั้นตั้งใจคิดหย่อนคลายความตึงเครียด |
20} จัตหาระปริวรรตอาสนะ ท่าหมุนท้อง
จัตหาระปริวรรตอาสนะ
ท่าหมุนท้อง
ท่าหมุนท้อง
วิธี ปฏิบัติ 1. นอนหงายราบกับพื้น เหยียดแขนตรงออกไป ทางด้านข้างทั้งสอง เสมอระดับไหล่ ขาเหยียดตรงและชิดกัน รูปร่างขณะนี้เหมือนกางเขน 2. หายใจเข้า ยกขา (เหยียดตรงและชิดกันเสมอ) ตั้งฉากกับลำตัวและพื้น 3. หายใจออก ลดขาลงทางซ้ายเกือบถึงพื้น ฉากกับลำตัว |
19} ตรีโกณอาสนะ ท่ารูปสามเหลี่ยม
ตรีโกณอาสนะ
ท่ารูปสามเหลี่ยม
ท่ารูปสามเหลี่ยม
วิธีปฏิบัติ 1. ยืนตรง แยกขาออกจากกันพอสมควร กางแขนทั้งสองออกไปทางด้านข้าง ให้ตรงเสมอไหล่ พร้อมกับหายใจเข้า 2. หายใจออก ขณะเดียวกันค่อย ๆ เอนตัวลงทางด้านข้าง อย่าให้ลำตัวเอียงทางด้านหน้า หรือด้านหลังโดยเด็ดขาด เอนตัวลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หยุดอยู่แค่นั้น กลั้นหายใจ 3 ถึง 5 วินาที 3. หายใจเข้า กลับคืนสู่ท่าเดิม จากนั้นหายใจออก เอนตัวลงไปทางด้านข้าง อีกข้างหนึ่งโดยทำนองเดียวกัน ทำสลับกันข้างละ 5 ครั้ง | |
ประโยชน์ - ทำให้อวัยวะในท้องทำงานดีขึ้น ช่วยย่อยอาหาร - แก้อาการปวดหลัง - ลดไขมันบริเวณเอว ต่อ>> 20} จัตหาระปริวรรตอาสนะ ท่าหมุนท้อง |
18} อุทกัตอาสนะ ท่าเขย่งย่อ
อุทกัตอาสนะ
ท่าเขย่งย่อ
ท่าเขย่งย่อ
วิธีปฏิบัติ 1. ยืนตรง ให้เท้าทั้งสองข้างห่างกันพอสมควร 2. หายใจเข้าพร้อมกับยกส้นเท้าหรือเขย่งตัวขึ้น 3. หายใจออก ในเวลาเดียวกัน ย่อตัวนั่งยอง ๆ ส้นเท้ายังคงยกจากพื้น 4. วางส้นเท้าราบลงกับพื้น 5. หายใจเข้า ยกส้นเท้าจากพื้น 6. ลุกขึ้นยืน คงหายใจเข้า ตลอดเวลา ยืนตรง ยกส้นเท้า 7. หายใจออก พร้อมกับลดส้นเท้าลงพื้น ทำ 5 ครั้ง | |
ประโยชน์ - ช่วยแก้อาการปวดเข่า ทำให้ขาแข็งแรง ต่อ>> 19} ตรีโกณอาสนะ ท่ารูปสามเหลี่ยม |
17} วัชโรลิมุทระอาสนะ ท่าตะขอ
วัชโรลิมุทระอาสนะ
ท่าตะขอ
ท่าตะขอ
วิธี ปฏิบัติ นั่งตัวตรง มือวางไว้สองข้าง แล้วเอนตัวไปข้างหลัง หายใจเข้าพร้อมกับยกขาสองขาขึ้นให้ขาเหยียดตรง เฉพาะบริเวณก้นเท่านั้นที่อยู่กับพื้น ยกขาให้สูงจากพื้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อได้ที่แล้ว ให้หายใจเข้าออกตลอดเวลา และอยู่ในท่านั้น 30 ถึง 60 วินาที แล้วหย่อนขาลงกลับท่าเดิม | |
ประโยชน์ - มีประโยชน์ที่สุดสำหรับ ผู้ที่ท้องผูกเป็นประจำ - ลดไขมันหน้าท้อง และทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง ต่อ>> 18} อุทกัตอาสนะ ท่าเขย่งย่อ |
16} สวาหะอาสนะ ท่าสวาหะ
สวาหะอาสนะ
ท่าสวาหะ
ท่าสวาหะ
วิธีปฏิบัติ 1. ตั้งท่าเริ่มต้นแบบเดียวกับท่าครึ่งงู แต่เลื่อนขาหน้าออกไปให้มากที่สุดเท่าที่พอจะอยู่ได้ สองมือพนมไว้ที่หน้าตัก 2. หายใจเข้า พร้อมทั้งพนมมือยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ (ระวังให้แขนตรง) ค่อย ๆ แอ่นลำตัวช่วงบนไปข้างหลังให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ จนกระทั่งให้มือ กระดูกสันหลัง ขาเป็นครึ่งวงกลม แล้วกลั้นหายใจ 3 วินาที 3. หายใจออก กลับสู่ท่าเริ่มต้น ทำ 3 ครั้ง แล้วสลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน | |
ประโยชน์ - เพิ่มความตึงของขา หน้าท้อง อก มากขึ้น - มีประโยชน์ต่อกระดูกสันหลัง เอว ไหล่ ต่อ>> 17} วัชโรลิมุทระอาสนะ ท่าตะขอ |
15} อัฒภุชงคอาสนะ ท่าครึ่งงู
อัฒภุชงคอาสนะ
ท่าครึ่งงู
ท่าครึ่งงู
วิธีปฏิบัติ 1. คุกเข่าซ้ายลงกับพื้น ขาซ้ายท่อนล่างวางราบกับพื้น จนถึงปลายเท้า หน้าแข้งขวาตั้งตรงกับพื้น ฝ่าเท้าขวาวางราบกับพื้น ลำตัวตรง แขนสองข้างห้อยอยู่ข้างตัว จากนั้นหายใจเข้า ยังไม่เคลื่อนไหว 2. หายใจออก พร้อมกับโยกตัวไปข้างหน้า ค่อย ๆ ย่อตัวลง รักษาลำตัวให้ตรง จนกระทั่งปลายนิ้วมือ ถึงพื้นได้ยิ่งดี กลั้นหายใจนิ่งในท่านี้ 3 วินาที 3. หายใจเข้า ยกแขนสองข้างขึ้นจนได้ระดับไหล่ 4. หายใจออก ค่อยหมุนตัวไปทางซ้าย พร้อมกับหันหน้าไปดูเท้าซ้าย แล้วโน้มตัวลง พยายามให้นิ้วมือซ้ายแตะส้นเท้าให้ได้ โดยมีแขนขวา ยกงอขึ้นแนบอก อยู่ในท่านี้ 3 วินาที จากนั้นหายใจเข้า กลับสู่ท่าที่ 1 ทำ 5 ครั้ง แล้วเปลี่ยนไปทำอีกข้างหนึ่ง | |
ประโยชน์ - ทำให้โครงสร้างของกระดูกสันหลังทั้งหมดอ่อนช้อย - ลดไขมันที่เอว ตะโพก และโคนขา ต่อ>> 16} สวาหะอาสนะ ท่าสวาหะ |
14} มัสยาอาสนะ ท่าปลา
มัสยาอาสนะ
ท่าปลา
ท่าปลา
วิธี ปฏิบัติ 1. นั่งในท่าปัทมอาสนะ ใช้นิ้วมือจับหัวแม่เท้าสองข้างไว้ 2. กดคางไว้กับอกแล้วหงายตัวลงนอน พร้อมกับยกตักขึ้น จากนั้นก็ลดตักราบลงกับพื้น ให้อกแอ่น อยู่ในท่านี้ 30 ถึง 60 วินาที หายใจลึก ๆ เข้าออกตลอดเวลาตั้งแต่ต้นจนเลิก | |
ประโยชน์ - ช่วยให้ต่อม pituitary และต่อมไทรอยด์แข็งแรงขึ้น - บรรเทาอาการท้องผูก - มีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่เป็นหืด หรือหายใจไม่สะดวก เนื่องจากหวัด วัณโรค และโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ต่อ>> 15} อัฒภุชงคอาสนะ ท่าครึ่งงู |
13} โยคะมุทระ ท่านั่งก้มศีรษะ
โยคะมุทระ
ท่านั่งก้มศีรษะ
ท่านั่งก้มศีรษะ
วิธีปฏิบัติ 1. นั่งในท่าดอกบัว ไขว้มือไปข้างหลัง นิ้วมือประสานกัน หายใจเข้า 2. ค่อย ๆ ก้มตัวลงพร้อมกับหายใจออก จนกระทั่งหน้าผากแตะกับพื้น นิ่งอยู่ในท่านั้น 3 ถึง 5 วินาที 3. ค่อย ๆ ยกศีรษะ และยึดตัวขึ้นจนตรงเช่นเดิม พร้อมกับหายใจเข้า หายใจออก กลับสู่ท่าที่ 1 ทำ 5 ครั้ง | |
ประโยชน์ - ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ภายในช่องท้องแข็งแรง - ช่วยลดไขมันต้นแขน ต่อ>> 14} มัสยาอาสนะ ท่าปลา |
12} จักรอาสนะ ท่ากงล้อ
จักรอาสนะ
ท่ากงล้อ
ท่ากงล้อ
วิธีปฏิบัติ 1. นอนหงายราบกับพื้น แล้วชันเข่าสองข้างขึ้น กะเท้าให้พอดี อย่าให้ห่างหรือชิดต้นขาหลังมากนัก ขณะเดียวกันก็งอแขนสองข้างขึ้น ให้ฝ่ามือวางกับพื้นถัดจากไหล่ไปเล็กน้อย ใกล้กับใบหูทั้งสองข้าง 2. หายใจเข้าพร้อมกับดันตัวขึ้นโดยใช้กำลังแขนทั้งสอง โดยมีมือยันอยู่ที่พื้นจนตัวโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม แล้วหายใจเข้า-ออก ลึก ๆ ตลอดเวลา อยู่ในท่านี้จาก |
11} อัฒมัสเยนทรอาสนะ ท่าบิดตัว
อัฒมัสเยนทรอาสนะ
ท่าบิดตัว
ท่าบิดตัว
วิธี ปฏิบัติ 1. นั่งตัวตรง เหยียดขาสองข้างออกไปข้างหน้า ยกขาข้างหนึ่งข้ามขาอีกข้างหนึ่ง แล้วชันเข่าเท้าเลยเข่าของขาที่เหยียดเข้าหาตัวโดยเข่าราบกับพื้น ใช้มือดังเท้า จนกระทั่งแก้มก้นทับเท้าข้างที่ราบกับพื้น ใช้แขนข้างตรงข้ามกับเข่าที่ชัน ข้ามเข่าข้างที่ตั้งอยู่ เอื้อมมือไปจับเข่าของข้างที่งอกับพื้น หรือจับข้อเท้าของขาที่ชันเข่าก็ได้ จุดประสงค์เพื่อให้ต้นขากับหน้าท้องให้หนักเท่าที่จะทำได้เป็นสำคัญ แขนข้างเดียวกัน ชันเข่าวางมือที่จับเข่าหรือข้อเท้าแล้วแต่กรณี |
10} ธนูอาสนะ ท่าคันศร
ธนูอาสนะ
ท่าคันศร
ท่าคันศร
วิธีปฏิบัติ 1. นอนคว่ำกับพื้น งอเข่าสองข้างขึ้นทางด้านหลัง และใช้มือจับข้อเท้าทั้งสองไว้ให้แน่น 2. จากนั้นหายใจเข้า พร้อมกับยกตัวขึ้นด้วยการค่อย ๆ ดีดขาทั้งสองไปข้างหลัง ให้ทำด้วยความเชื่องช้า แขนสองข้างตรง อย่างอเป็นอันขาด จนกระทั่งลำตัวเป็นรูปโค้งเหมือนคันศร โดยมีแขนสองข้างเป็นสายคันศร หมายความว่า หน้าท้องเท่านั้นที่อยู่กับพื้น อย่าเหลือกตาเพราะจะทำให้หน้าผากย่น นิ่งอยู่ในท่านั้นประมาณ 3-5 นาที แล้วค่อย ๆ ลดตัวกับพื้นตามเดิม พร้อมกับหายใจออก ทำเช่นนั้น 5 ครั้ง | |
ประโยชน์ ทำให้กระดูกสันหลังอ่อนช้อย พร้อมทั้งกระตุ้นประสาทบริเวณกระดูกสันหลังให้แข็งขันขึ้น รวมไปถึงการออกกำลังกล้ามเนื้อ บริเวณเอวและหน้าท้อง ให้แข็งแรงด้วย ต่อ>> 11} อัฒมัสเยนทรอาสนะ ท่าบิดตัว |
9} ชานุ-ศีรษะอาสนะ ท่าหัวถึงเข่า
ชานุ-ศีรษะอาสนะ
ท่าหัวถึงเข่า
ท่าหัวถึงเข่า
วิธีปฏิบัติ 1. นั่งตัวตรง เหยียดขาข้างหนึ่งออกไปข้างหน้า รักษาเข่าให้ตรงจริง ๆ อย่าให้งอขึ้นโดยเด็ดขาด ขาอีกข้างหนึ่งงอหรือพับเข้าหาตัวจนฝ่าเท้ายันกับต้นขา แต่อย่าให้อยู่ใต้ต้นขา ส้นเท้าตั้งอยู่กับพื้น เท้าตรง นิ้วเท้าชี้ขึ้นข้างบน ไม่เอียงไปทางด้านซ้าย หรือด้านขวา 2. หายใจเข้า พร้อมกับชูมือทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะ แขนตรงให้เป็นแนวเดียวกับลำตัว 3. หายใจออกและค่อยโน้มตัวลง ใช้มือทั้งสองจับที่นิ้วเท้า แล้วก้มศีรษะและงอแขนลงจนกระทั่งศีรษะแตะกับเข่าของขา ที่เหยียดตรงอยู่นั้น งอแขนข้อศอกทั้งสองจรดพื้นได้ยิ่งดี กลั้นหายใจนิ่งอยู่ 3-5 วินาที 4. ค่อย ๆ ยกตัวขึ้น พร้อมกับหายใจเข้า ยกแขนขึ้นเสมอไหล่ จากนั้นหายใจออก กลับสู่ท่าที่ 1 ทำจนครบ 5 ครั้ง จากนั้นก็เปลี่ยนไปทำเช่นเดียวกันกับขาอีกข้างหนึ่ง | |
- ช่วยขจัดความรู้สึกเกียจคร้าน และความรู้สึกไม่แจ่มใสให้สิ้นไป - ทำให้กระดูกสันหลังอ่อนตัว กล้ามเนื้อหลังและขาแข็งแรง - ทำให้ลำไส้บีบตัว ซึ่งเป็นผลดีแก่ผู้ที่ท้องผูกเสมอ ต่อ>> 10} ธนูอาสนะ ท่าคันศร |
8} ศลาภะอาสนะ ท่าตั๊กแตน
ศลาภะอาสนะ
ท่าตั๊กแตน
ท่าตั๊กแตน
วิธี ปฏิบัติ ท่าตั๊กแตนแบบที่ 1 นอนคว่ำหน้ากับพื้น เหยียดแขนมองข้างไปทางศีรษะให้ต้นแขนใกล้กับหูหรือชิดหูได้ยิ่งดี ขากางออกเล็กน้อย เพื่อสะดวกแก่การยกตัวขึ้น เมื่อยกตัวได้ดีและโดยง่ายแล้วค่อยให้สองขาชิดกันภายหลัง หายใจเข้าพร้อมกับยกตัวทั้งหมดขึ้น ทั้งส่วนบนและส่วนล่างของร่างกาย ให้ต้นขากับหน้าลอยพ้นพื้น เหลืออยู่แต่บริเวณหน้าท้องเท่านั้นที่แนบอยู่กับพื้น |
7} ภุชงคะอาสนะ ท่างู
ภุชงคะอาสนะ
ท่างู
ท่างู
วิธีปฏิบัติ 1. นอนคว่ำราบกับพื้น ขาสองข้างชิดกันตลอดถึงเท้า หลังเท้าราบกับพื้น มือสองข้างอยู่ใต้ไหล่ ปลายนิ้วมือเสมอระดับไหล่ ซึ่งจะทำให้ศอกโค้งอยู่ข้างตัวโดยอัตโนมัติ 2. หายใจเข้า พร้อมกับค่อย ๆ หรือด้วยอาการอันเชื่องช้า ยกศีรษะขึ้นจากพื้นแล้วยกหน้า และยกท้องติดต่อกันไปตามลำดับ โดยใช้แขนช่วยดันและยันจนกระทั่งแขนสองข้างเกือบตรง (ไม่ใช่ตรง) ส่วนล่างของร่างกาย ควรเป็นตั้งแต่ใต้สะดือลงไปคงอยู่กับพื้น ขาและเท้าแนบสนิท เงยคางหรือเงยหน้าขึ้นหลบตาลงต่ำ (อย่าเหลือกตา จะทำให้หน้าผากย่น) หยุดนิ่งอยู่ในท่านั้น กลั้นหายใจ 3 วินาที จากนั้นหายใจออก ลดท้องลงกับพื้น หน้าอกและหน้าผากตามลำดับ กลับสู่ท่าที่ 1 ทำ 3-5 ครั้ง ภุชงคอาสนะ เป็นท่าแก้ต่อจากปัจฉิโมททานอาสนะ | |
- ช่วยนวดกล้ามเนื้อส่วนหลัง และเสริมให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นแข็งแรง บรรเทาต่ออาการปวดเมื่อยหลัง - ช่วยคลายความเครียดก่อนมีประจำเดือน และทำให้ไม่ปวดท้องก่อนมี ป.จ.ด. หรือผู้มีประจำเดือนขาด ๆ หาย ๆ หรือมีระดูขาว เหล่านี้จะค่อย ๆ หายไป ต่อ>> 8} ศลาภะอาสนะ ท่าตั๊กแตน |
6} ปัจฉิโมททานอาสนะ ท่ายืดส่วนหลัง
ปัจฉิโมททานอาสนะ
ท่ายืดส่วนหลัง
ท่ายืดส่วนหลัง
วิธีปฏิบัติ 1. นั่งตัวตรง เหยียดขาทั้งสองไปข้างหน้า ให้ขาตรงและชิดกันตลอดถึงเท้าทั้งสอง แขนอยู่ข้างตัว มือวางบนพื้น 2. หายใจเข้า พร้อมกับยกแขนทั้งสองขึ้นช้า ๆ จนสองแขนเป็นเส้นตรงกับลำตัว มือชี้ไปข้างบนเหนือศีรษะ ให้ต้นแขนสัมผัสใบหูทั้งสองข้าง หน้าตรงมองไปข้างหน้า 3. หายใจออก (แขม่วท้อง) พร้อมกับค่อย ๆ โน้มตัวลงไปข้างหน้า |
5} หาละอาสนะ ท่าคันไถ
หาละอาสนะ
ท่าคันไถ
ท่าคันไถ
วิธี ปฏิบัติ 1. นอนหงายราบกับพื้น แขนทอดอยู่ข้างตัวมือคว่ำ 2. หายใจเข้า พร้อมกับยกขาทั้งสอง เข่าตรงเหมือนกับทำท่ายืนด้วยไหล่ แต่ไม่ยกตัวขึ้นตั้งตรงเหมือนกับท่านั้น ยกสองขาตั้งตรง 3. หายใจออกพร้อมกับยกสะโพกขึ้น ขายังคงตรงอยู่ พุ่งเท้าไปทางศีรษะ เมื่อหลังพ้นจากพื้นจนกระทั่งไหล่รับน้ำหนักตัวทั้งหมดแล้ว ก็หย่อนขาลงจนกระทั่งนิ้วเท้าจรดพื้น แขนสองข้างคงวางอยู่ที่เดิมตลอดเวลา จากนั้นหายใจเข้าออก แบบหายใจด้วยท้อง 3 ครั้ง 4. หายใจเข้าครั้งที่ 4 5. เมื่อหายใจเข้าครั้งที่ 4 ให้ขยับสะโพกไปทางด้านหลัง พร้อมกับหย่อนสะโพกลงกับพื้น เท้าสองข้างชี้ฟ้า 6. หายใจออก ลดเท้าลงกับพื้น โดยให้ส้นเท้ากระทบพื้นอย่างนุ่มนวล เข่าสองข้างตรงตลอดเวลา ทำซ้ำ 5 ครั้ง | |
- ทำให้สันหลังทั้งหมดอ่อนช้อย - มีหลายตำรายืนยันว่า ท่าคันไถนี้สามารถช่วยรักษาโรคเบาหวานบางประเภทด้วย ต่อ>> 6} ปัจฉิโมททานอาสนะ ท่ายืดส่วนหลัง |
4} วัชระอาสนะ ท่าเพชร
วัชระอาสนะ
ท่าเพชร
ท่าเพชร
วิธีปฏิบัติ วัชระอาสนะ เป็นท่าแก้ของท่ายืนด้วยไหล่ท่าหนึ่ง นั่งแบบที่เรียกว่า “ นั่งพับเป็ด ” คือนั่งงอเข่าตังทับอยู่ข้างบนขาทั้งสอง กับทับเท้าซึ่งวางราบกับพื้น โดยส้นเท้าแยกออกจากกัน ส่วนปลายเท้าชิดกัน พยายามให้เข่าชิดกัน (เมื่อเอนตัวแล้วรู้สึกตึงหน้าขามาก ให้แยกเข่าออกจากกันได้) เอนตัวไปข้างหลังพร้อมกับเอามือเท้าด้านหลัง เป็นการยันตัวไว้ ให้นิ้วมือพุ่งไปข้างหน้า ค่อย ๆ งอแขนทีละข้างจนศอกสองข้างถึงพื้นแล้วห้อยศีรษะลงพร้อมกับเลื่อนศอกไปข้าง หน้าหรือเลื่อนตัวมาข้างหลัง จนกระทั่งส่วนกลางของศีรษะถึงพื้น หน้าหงาย แอ่นอกให้ส่วนอกโค้งขึ้นข้างบน คงหายใจลึกปกติตลอดเวลา จากนั้นก็ยกมือขึ้นพนมที่หน้าอก อยู่ในท่านี้ครึ่งหรือหนึ่งนาที (นับช้า ๆ 30-60) เมื่อนับครบแล้วพลิกตัวลงทางด้านข้าง ด้านใดด้านหนึ่งแล้วแต่ถนัด แล้วชักขาออกนอนหงายกับพื้นเป็นการพัก | |
- ช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง กายหายใจสะดวกขึ้น (เป็นผลดีแก่ผู้ที่เป็นโรคหัด หรือหายใจไม่สะดวก) - ทำให้การเจ็บปวดกล้ามเนื้อที่ขาและเข่าหายไป รวมถึงการปวดประสาทที่ตะโพกหรือที่เอวด้วย - ช่วยไล่แก๊สในลำไส้ ทำให้บรรเทาอาการท้องขึ้น ท้องอืด ต่อ>> 5} หาละอาสนะ ท่าคันไถ |
3} สวางคะอาสนะ ท่ายืนด้วยไหล่
สวางคะอาสนะ
ท่ายืนด้วยไหล่
วิธีปฏิบัติ 1. นอนหงายราบกับพื้นแขนอยู่ข้างตัว มือคว่ำกับพื้น เข่าตรง ขาสองข้างชิดกัน 2. หายใจเข้า พร้อมกับยกขาสองข้างขึ้นช้า ๆ จนตั้งได้ฉากกับพื้นและลำตัว 3. หายใจออก ในเวลาเดียวกันก็ค่อย ๆ ยกสะโพกและลำตัวส่วนบนขึ้นโดยไม่ใช้กำลังเหวี่ยง พร้อมกับยกแขนทั้งสองจากศอกขึ้น ใช้มือดันสะโพก ส่วนศอกอยู่กับพื้นยันตัวไว้แล้ว ยืดตัวขึ้นจนกระทั่งไหล่กับต้นคอและศีรษะส่วนหลังเท่านั้นที่อยู่กับพื้น เท้าทั้งสองชี้ฟ้า ขาชิดกัน พยายามทำให้ลำตัวทั้งหมดเป็นเส้นตรงตั้งแต่เท้าลงมาจนถึงไหล่ คางชิดแบบที่เรียกว่า chin-lock หรืออัดคาง น้ำหนักทั้งหมดของลำตัวอยู่ที่ไหล่ ศอกที่ยันสะโพกรับน้ำหนักเพียงเล็กน้อย หย่อนกล้ามเนื้อขาและเท้าทั้งหมด อย่าเกร็ง จากนั้นหายใจลึกเข้าออกปกติ นิ่งอยู่ในท่านี้ 1 นาที จนกระทั่งถึง 5 นาที อันเป็นเวลาที่ได้ประโยชน์จากท่านี้โดยเต็มที่ โดยเพิ่มครั้งละ 15 ถึง 30 วินาทีเป็นอย่างมาก | |
- มีผลกับต่อมไทรอยด์และต่อมเกี่ยวกับเพศโดยตรง เป็นอาสนะที่รักษาความเป็นหนุ่มสาวให้คงอยู่ตลอดไป และทำให้ระบบประสาทมีชีวิตชีวาขึ้น ทั้งส่งเสริมระบบการหมุนเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น สตรีหลังคลอดบุตรจะได้รับประโยชน์มากที่สุด เพราะจะทำให้อวัยวะภายในที่เคลื่อนต่ำ หรืออยู่ผิดที่กลับเข้าที่ของมันตามเดิม ต่อ>> 4} วัชระอาสนะ ท่าเพชร |
2} ศีรษะอาสนะ ยืนด้วยศีรษะ
ศีรษะอาสนะ ยืนด้วยศีรษะ
วิธี ปฏิบัติ 1. คุกเข่ากับพื้น (ริมผ้ารอง) ปลายเท้าทั้งสองข้างงอตั้งกับพื้น ประสานนิ้วมือสองข้างเข้าด้วยกันให้แน่น วางแขนลงกับพื้น ศอกห่างกันเท่ากับความกว้างของไหล่ 2. ก้มศีรษะลงกับพื้นในอุ้งมือ ให้ตำแหน่งของศีรษะระหว่างหน้าผากกับกลางกระหม่อม ค่อนไปทางกลางกระหม่อมเล็กน้อย 3. ยืดขาตรงโดยไม่ต้องถอยเท้าไปข้างหลังหายใจเข้าออกตามปกติตลอดเวลา 4. ก้าวเท้าเข้ามาให้ใกล้กับหน้าจนคอและลำตัวตั้งตรง 5. รอเข่าเข้ามาแล้วยกเท้าขึ้น 6. เหยียดขาตรง เท้าชี้ฟ้า หลังและคอกับด้านหลังของศีรษะตั้งเป็นเส้นตรง หายใจเข้าออกตามปกติลงให้นุ่มนวล หมอบกับพื้นสักครู่ อย่าลุกพรวดพราดเป็นอันขาด ครั้งแรก ๆ ไม่ควรอยู่เกิน 15 วินาที เพิ่มครั้งละไม่ควรเกิน 10 วินาที จนเท่าที่ท่านสามารถอยู่ได้อย่างสบาย * การหัดทำด้วยตนเองโดยไม่มีครูผู้ชำนาญฝึกสอน จึงควรระวังให้มาก หากรู้สึกตึงที่ลำคอหรือเจ็บที่ศีรษะควรหยุดทันที | |
- ช่วยให้ระบบประสาทมีสุขภาพดียิ่งขึ้น แก้โรคนอนไม่หลับ ตึงหรือปวดตุบ ๆ ในศีรษะ เหนื่อยง่าย สมองตื้อปราศจากความรู้สึก ความจำเสื่อม - ช่วยรักษาระบบย่อยอาหารที่ผิดปกติ อันเนื่องมาจากการหมุนเวียนของโลหิตบกพร่อง การเสื่อมโทรมของประสาทอย่างใดอย่างหนึ่ง และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เช่น ไซนัส และอาการแพ้ต่าง ๆ ต่อ>> 3} สวางคะอาสนะ ท่ายืนด้วยไหล่ |
1}สุริยะนมัสการ ท่าไหว้พระอาทิตย์
สุริยะนมัสการ
ท่าไหว้พระอาทิตย์
ท่าไหว้พระอาทิตย์
วิธีปฏิบัติ 1. ยืนนิ่งตัวตรง ไม่ต้องเกร็ง เท้าทั้งสองชิดกัน ตั้งแต่หัวแม่เท้าถึงส้นเท้าพนมมือหายใจเข้า แล้วหายใจออก พร้อมกับยื่นแขนตรงไปข้างหน้า ระดับแขนเสมอไหล่ สองแขนขนานกัน 2. หายใจเข้า ยกแขนทั้งสองขึ้น เอนตัวเฉพาะส่วนบนไปข้างหลัง 3. หายใจออก โค้งตัวไปข้างหน้า ให้นิ้วมือทั้งสองข้างจรดพื้น ปลายนิ้วมืออยู่ระดับปลายนิ้วเท้า เข่าตรง 4. ยังหายใจออกอยู่ ย่อตัวลง ค่อย ๆ เหวี่ยงเท้าขวาไปข้างหลัง ให้เข่าขวาจรดพื้น เท้าซ้ายยังอยู่ระหว่างมือ เงยหน้าขึ้นหายใจเข้า 5. กลั้นใจเหวี่ยงเท้าซ้ายไปข้างหลังจนสุดขา เท้าขวาด้วย แขนตรง ลำตัวตรง 6. หายใจออก ค่อย ๆ หย่อนตัวลงกับพื้นให้แปดแห่งของร่างกาย สัมผัสพื้นคือ หน้าผาก หน้าอก มือทั้งสองข้าง เข่าสองข้าง ปลายเท้าสองข้าง 7. ดันร่างกายเฉพาะส่วนบนขึ้นพลางหายใจเข้า 8. หายใจออก แล้วยกตัวโค้งขึ้น กดส้นเท้าลง พยายามให้ส้นเท้าแตะพื้น โดยไม่เคลื่อนทั้งมือและเท้า 9. ยังหายใจออกอยู่ ขยับเท้าซ้ายไปข้างหน้าเล็กน้อย เหวี่ยงเท้าขวามาให้อยู่ระหว่างมือ หัวแม่เท้ากับปลายนิ้วมืออยู่ระดับเดียวกัน เงยหน้าหายใจเข้า 10. หายใจออก ลุกขึ้นยืน ให้เข่าตรง แต่มือยังคงเท้าพื้นเหมือนข้อ 3 11. หายใจเข้า ยกร่างกายส่วนบนขึ้น แล้วเอนไปข้างหลังเหมือนข้อ 2 12. ท่าต่อเนื่องนับเป็นหนึ่งรอบของสุริยะนมัสการ หายใจออก ค่อย ๆ ลดมือลงไว้สองข้างของร่างกาย | |
จะต้องทำตามที่กำหนดไว้ 12 รอบ แล้วจะรู้สึกกระฉับกระเฉง และพร้อมกันนั้นจะสบายใจขึ้นในเวลาเดียวกัน ยังเป็นการส่งเสริมบุคลิกลักษณะให้เด่นขึ้นด้วย บุคลิกลักษณะคือ ร่างกาย บวกด้วยจิตใจ และบวกด้วยปัญญา สุริยะนมัสการจะทำให้อวัยวะที่มีอยู่ในร่างกายทั้งหมดแข็งแรง เช่น กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นโลหิต กระเพาะ ระบบหายใจและระบบประสาท ต่อ>>2} ศีรษะอาสนะ ยืนด้วยศีรษะ |
ผู้ที่จะฝึกโยคะ ควรเตรียมตัว ดังนี้
ผู้ที่จะฝึกโยคะ ควรเตรียมตัว ดังนี้
1. ทานอาหารแล้ว 1-2 ชม. ขึ้นอยู่กับอาหารหนักเบา “ อาหารที่ท่านใส่ปากต่อไปอีกหลังจาก “ รู้สึกอิ่ม ” แล้วนั้นเกือบไม่ต่างกันเลยกับ “ ยาพิษ ” อ่อน ๆ ที่จะเกิดโทษแก่ท่านในภายหลัง ”
2. เวลาที่ดีที่สุดคือเช้าตรู่ หรือบ่ายค่อนไปถึงเย็น
3. สถานที่ต้องมีลมโกรก ไม่ร้อนอบอ้าว
4. เครื่องแต่งกายที่สามารถเคลื่อนไหวได้โดยสะดวก
5. อุปกรณ์ ถ้าพื้นไม่ได้ปูพรม ต้องมีผ้าหนาพอสมควร (ผ้าห่ม) ปูรองตัวเวลาเล่นทุกครั้ง (เพื่อกันเจ็บหลัง หัวเข่า ในท่านที่จำเป็นต้องรองรับ)
6.ปฏิบัติอาสนะโดยแช่มช้า นุ่มนวล
7. ในระหว่างอาสนะนั้นต้องนอนพักทุกครั้งไป หลังจากทำแต่ละอาสนะเสร็จแล้ว
8. ต้องหายใจอย่างธรรมชาติ คือ ไม่เกร็งกล้ามเนื้อตรงคอ หรือทำหน้านิ่ว ไม่ทำจมูกบี้ และต้องไม่มีเสียงดังด้วย
9.ใจเย็น ๆ อย่าหักโหม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้มีวัยพ้น 40 ไปแล้ว
ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกโยคะนั้นมีอเนกประการ โดยย่อดังนี้คือ
1. ทำให้เกิดความสงบแก่จิตใจและหัวใจ
2. มีอำนาจใจ อำนาจปัญญา และอำนาจความรักสูง
3. ทำให้กำลังใจมีอำนาจเหนือร่างกายและโลกภายนอก
4. สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ในปัจจุบันและอนาคตได้หลายอย่าง
5. สามารถควบคุมจิตใจได้ดีและมีอำนาจในการเพ่งเล็งสูง
6. ควบคุมอารมณ์ได้ดี นั่นก็คือ ทำลายความวิตกกังวล ความหยิ่งผยอง ความโกรธ ความกลัว ให้หมดสิ้นไป
7. ทำให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์ มีความอ่อนช้อย ความงาม และอายุยืน
8. กำจัดโรคร้าย และอันตรายต่าง ๆ ที่เกิดจากสภาพของจิตใจไม่ปกติ
การหายใจ
การปฏิบัติอาสนะการหายใจ นับว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุด เพราะหาก ปราศจากการหายใจอันถูกต้องเสียแล้ว การทำอาสนะก็เกือบจะไม่มีความหมายและอย่างมากก็เป็นเพียงการออกกำลังตาม ธรรมดาเท่านั้น
โยคะแบ่งการหายใจออกเป็น 4 ประเภทคือ หายใจสูง หายใจกลาง หายใจต่ำ และหายใจแบบโยคี
1. หายใจสูง เป็นแบบที่เรียกว่า หายใจ ด้วยไหปลาร้า ( Collarbone Breathing) เวลาหายใจเข้า ผู้หายใจแบบนี้จะเผยอซี่โครงและยกไหปลาร้ากับไหล่ขึ้นในเวลาเดียวกันก็แขม่ว ท้องเข้าไปดันกระบังลมที่ช่องท้อง ( Diaphragm) ให้ยกขึ้นไปด้วยซึ่งเท่ากับว่าใช้ส่วนบนของหน้าอกและปอด ซึ่งเป็นส่วนเล็กที่สุดหายใจนั่นเอง นั่นก็คือ หายใจเอาอากาศเข้าไปได้น้อย เป็นการหายใจแบบที่เลวที่สุด
2. หายใจกลาง การหายใจแบบนี้เรียกกันว่า หายใจระหว่างซี่โครง ( Intercostal Breathing) การหายใจกลางนี้ มีการขยายซี่โครงบางส่วนและยกขึ้นเล็กน้อยและยังมีการดันกระบังลมให้ยกขึ้น ด้วยพร้อมกับการแขม่วท้องเข้า แบบนี้ดีกว่าแบบแรก
3. หายใจต่ำ เป็นการหายใจที่เกือบดีที่สุด เพราะเป็นการหายใจด้วยท้องซึ่งอาจเรียกได้ว่าหายใจลึก และควรจะเป็นการหายใจของคนโดยทั่วไป การหายใจต่ำหรือหายใจด้วยท้องก็คือ เมื่อหายใจออกให้แขม่วท้องเข้าพร้อมกับยกซี่โครงขึ้น อันหมายถึงกระบังลม ย่อมจะถูกดันให้ยกขึ้นด้วย ช่องอกถูกบีบเข้าไปทำให้อากาศเสียในปอดถูกขับออกจากร่างกายเป็นจำนวนมาก เวลาหายใจเข้าให้ขยายท้องให้ป่อง ตรงกันข้ามกับหายใจออก การทำเช่นนี้จะทำให้กระบังลมหย่อนลง ทำให้ปอดมีที่ว่างที่จะขยายตัวได้มาก หมายถึงสูดอากาศได้มากนั่นเอง
4. หายใจแบบโยคี หรือการหายใจสูงกลางต่ำรวมกัน การหายใจแบบนี้เป็นการหายใจที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์ค้นพบ จะกล่าวถึงการหายใจและวิธีทำโดยละเอียดในตอนปราณยามะ
ขอแนะนำให้ฝึกการหายใจต่ำหรือหายใจด้วยท้องตลอดเวลาที่ปฏิบัติ หากเป็นไปได้ควรหัดหายใจแบบนี้เป็นนิสัย แม้ในเวลาปกติจะทำให้เป็นหวัดยากและร่างกายก็จะกระชุ่มกระชวยขึ้นด้วย
กายบริหารแบบโยคะที่มีคุณประโยชน์แก่ร่างกายมากที่สุดท่าหนึ่ง ไม่ยากแก่การปฏิบัติและใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ก็คือ “ สุริยะนมัสการ ” หรือท่า “ ไหว้พระอาทิตย์ ”
ท่านคุรุเทพสวามีศิวะนันทะแห่งเมืองฤาษีเกษอินเดีย ผู้เป็นมหาคุรุของผู้เขียน ได้กำหนดให้ทำท่าไหว้พระอาทิตย์นี้เป็นท่าแรกหรือท่าครู
ทำไมจึงต้องทำท่าไหว้พระอาทิตย์ ? คำตอบ ก็คือ พระอาทิตย์เป็นแหล่งพลังทั้งมวลในจักรวาลไม่เพียงแต่ทุกชีวิตจะไม่อาจอุบัติ ขึ้นหรือคงอยู่ต่อไปได้ ถ้าปราศจากเสียซึ่งพระอาทิตย์เท่านั้น หากโลกและจักรวาลทั้งหมดยังจะพังพินาศไปด้วย เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้วที่มนุษย์ได้พัฒนาวิทยาการและวิธีการเพื่อรับและใช้ ประโยชน์จากแหล่งพลังอันยิ่งใหญ่แห่งนี้
สุริยะนมัสการ เป็นแบบของการออกกำลังที่นับได้ว่าไม่ยากมีท่าที่จะต้องปฏิบัติติดต่อกัน 12 ท่า แต่ละท่าได้มีการกำหนดลมหายใจไว้ด้วยเป็นท่า หรืออาสนะที่ประกอบด้วยปราณยามะหรือการควบคุมลมปราณ ซึ่งเป็นองค์หนึ่งในองค์แปดประการของโยคะผสมอยู่ด้วย มีการหายใจเข้า หายใจออกและกลั้นหายใจติดต่อกันไปตามการเคลื่อนไหวของท่าทางที่ปฏิบัติอยู่
สุริยะนมัสการเป็นการออกกำลังที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่มนุษย์คิดได้ ทำให้ท่านสามารถปรับตัวของท่านให้เข้ากับแหล่งพลังของคอสมิค ซึ่งได้แก่ พระอาทิตย์
โยคะ กาย & จิต โดย ชมชื่น สิทธิเวช
**เริ่มได้เลยค่ะ>>คลิ๊กทันที>>
1. ทานอาหารแล้ว 1-2 ชม. ขึ้นอยู่กับอาหารหนักเบา “ อาหารที่ท่านใส่ปากต่อไปอีกหลังจาก “ รู้สึกอิ่ม ” แล้วนั้นเกือบไม่ต่างกันเลยกับ “ ยาพิษ ” อ่อน ๆ ที่จะเกิดโทษแก่ท่านในภายหลัง ”
2. เวลาที่ดีที่สุดคือเช้าตรู่ หรือบ่ายค่อนไปถึงเย็น
3. สถานที่ต้องมีลมโกรก ไม่ร้อนอบอ้าว
4. เครื่องแต่งกายที่สามารถเคลื่อนไหวได้โดยสะดวก
5. อุปกรณ์ ถ้าพื้นไม่ได้ปูพรม ต้องมีผ้าหนาพอสมควร (ผ้าห่ม) ปูรองตัวเวลาเล่นทุกครั้ง (เพื่อกันเจ็บหลัง หัวเข่า ในท่านที่จำเป็นต้องรองรับ)
6.ปฏิบัติอาสนะโดยแช่มช้า นุ่มนวล
7. ในระหว่างอาสนะนั้นต้องนอนพักทุกครั้งไป หลังจากทำแต่ละอาสนะเสร็จแล้ว
8. ต้องหายใจอย่างธรรมชาติ คือ ไม่เกร็งกล้ามเนื้อตรงคอ หรือทำหน้านิ่ว ไม่ทำจมูกบี้ และต้องไม่มีเสียงดังด้วย
9.ใจเย็น ๆ อย่าหักโหม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้มีวัยพ้น 40 ไปแล้ว
ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกโยคะนั้นมีอเนกประการ โดยย่อดังนี้คือ
1. ทำให้เกิดความสงบแก่จิตใจและหัวใจ
2. มีอำนาจใจ อำนาจปัญญา และอำนาจความรักสูง
3. ทำให้กำลังใจมีอำนาจเหนือร่างกายและโลกภายนอก
4. สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ในปัจจุบันและอนาคตได้หลายอย่าง
5. สามารถควบคุมจิตใจได้ดีและมีอำนาจในการเพ่งเล็งสูง
6. ควบคุมอารมณ์ได้ดี นั่นก็คือ ทำลายความวิตกกังวล ความหยิ่งผยอง ความโกรธ ความกลัว ให้หมดสิ้นไป
7. ทำให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์ มีความอ่อนช้อย ความงาม และอายุยืน
8. กำจัดโรคร้าย และอันตรายต่าง ๆ ที่เกิดจากสภาพของจิตใจไม่ปกติ
การหายใจ
การปฏิบัติอาสนะการหายใจ นับว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุด เพราะหาก ปราศจากการหายใจอันถูกต้องเสียแล้ว การทำอาสนะก็เกือบจะไม่มีความหมายและอย่างมากก็เป็นเพียงการออกกำลังตาม ธรรมดาเท่านั้น
โยคะแบ่งการหายใจออกเป็น 4 ประเภทคือ หายใจสูง หายใจกลาง หายใจต่ำ และหายใจแบบโยคี
1. หายใจสูง เป็นแบบที่เรียกว่า หายใจ ด้วยไหปลาร้า ( Collarbone Breathing) เวลาหายใจเข้า ผู้หายใจแบบนี้จะเผยอซี่โครงและยกไหปลาร้ากับไหล่ขึ้นในเวลาเดียวกันก็แขม่ว ท้องเข้าไปดันกระบังลมที่ช่องท้อง ( Diaphragm) ให้ยกขึ้นไปด้วยซึ่งเท่ากับว่าใช้ส่วนบนของหน้าอกและปอด ซึ่งเป็นส่วนเล็กที่สุดหายใจนั่นเอง นั่นก็คือ หายใจเอาอากาศเข้าไปได้น้อย เป็นการหายใจแบบที่เลวที่สุด
2. หายใจกลาง การหายใจแบบนี้เรียกกันว่า หายใจระหว่างซี่โครง ( Intercostal Breathing) การหายใจกลางนี้ มีการขยายซี่โครงบางส่วนและยกขึ้นเล็กน้อยและยังมีการดันกระบังลมให้ยกขึ้น ด้วยพร้อมกับการแขม่วท้องเข้า แบบนี้ดีกว่าแบบแรก
3. หายใจต่ำ เป็นการหายใจที่เกือบดีที่สุด เพราะเป็นการหายใจด้วยท้องซึ่งอาจเรียกได้ว่าหายใจลึก และควรจะเป็นการหายใจของคนโดยทั่วไป การหายใจต่ำหรือหายใจด้วยท้องก็คือ เมื่อหายใจออกให้แขม่วท้องเข้าพร้อมกับยกซี่โครงขึ้น อันหมายถึงกระบังลม ย่อมจะถูกดันให้ยกขึ้นด้วย ช่องอกถูกบีบเข้าไปทำให้อากาศเสียในปอดถูกขับออกจากร่างกายเป็นจำนวนมาก เวลาหายใจเข้าให้ขยายท้องให้ป่อง ตรงกันข้ามกับหายใจออก การทำเช่นนี้จะทำให้กระบังลมหย่อนลง ทำให้ปอดมีที่ว่างที่จะขยายตัวได้มาก หมายถึงสูดอากาศได้มากนั่นเอง
4. หายใจแบบโยคี หรือการหายใจสูงกลางต่ำรวมกัน การหายใจแบบนี้เป็นการหายใจที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์ค้นพบ จะกล่าวถึงการหายใจและวิธีทำโดยละเอียดในตอนปราณยามะ
ขอแนะนำให้ฝึกการหายใจต่ำหรือหายใจด้วยท้องตลอดเวลาที่ปฏิบัติ หากเป็นไปได้ควรหัดหายใจแบบนี้เป็นนิสัย แม้ในเวลาปกติจะทำให้เป็นหวัดยากและร่างกายก็จะกระชุ่มกระชวยขึ้นด้วย
กายบริหารแบบโยคะที่มีคุณประโยชน์แก่ร่างกายมากที่สุดท่าหนึ่ง ไม่ยากแก่การปฏิบัติและใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ก็คือ “ สุริยะนมัสการ ” หรือท่า “ ไหว้พระอาทิตย์ ”
ท่านคุรุเทพสวามีศิวะนันทะแห่งเมืองฤาษีเกษอินเดีย ผู้เป็นมหาคุรุของผู้เขียน ได้กำหนดให้ทำท่าไหว้พระอาทิตย์นี้เป็นท่าแรกหรือท่าครู
ทำไมจึงต้องทำท่าไหว้พระอาทิตย์ ? คำตอบ ก็คือ พระอาทิตย์เป็นแหล่งพลังทั้งมวลในจักรวาลไม่เพียงแต่ทุกชีวิตจะไม่อาจอุบัติ ขึ้นหรือคงอยู่ต่อไปได้ ถ้าปราศจากเสียซึ่งพระอาทิตย์เท่านั้น หากโลกและจักรวาลทั้งหมดยังจะพังพินาศไปด้วย เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้วที่มนุษย์ได้พัฒนาวิทยาการและวิธีการเพื่อรับและใช้ ประโยชน์จากแหล่งพลังอันยิ่งใหญ่แห่งนี้
สุริยะนมัสการ เป็นแบบของการออกกำลังที่นับได้ว่าไม่ยากมีท่าที่จะต้องปฏิบัติติดต่อกัน 12 ท่า แต่ละท่าได้มีการกำหนดลมหายใจไว้ด้วยเป็นท่า หรืออาสนะที่ประกอบด้วยปราณยามะหรือการควบคุมลมปราณ ซึ่งเป็นองค์หนึ่งในองค์แปดประการของโยคะผสมอยู่ด้วย มีการหายใจเข้า หายใจออกและกลั้นหายใจติดต่อกันไปตามการเคลื่อนไหวของท่าทางที่ปฏิบัติอยู่
สุริยะนมัสการเป็นการออกกำลังที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่มนุษย์คิดได้ ทำให้ท่านสามารถปรับตัวของท่านให้เข้ากับแหล่งพลังของคอสมิค ซึ่งได้แก่ พระอาทิตย์
โยคะ กาย & จิต โดย ชมชื่น สิทธิเวช
**เริ่มได้เลยค่ะ>>คลิ๊กทันที>>
แต่ละท่า..การฝึกโยคะหรืออาสนะ
Exercise-yoga95: อุปกรณ์สำหรับฝึกโยคะ<<ก่อนหน้า
แต่ละท่า..ท่าการฝึกโยคะหรืออาสนะ
การออกกำลังกายเพื่อทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงในปัจจุบันอาจจะอาศัยการออกกำลัง โดยการวิ่งหรือว่ายน้ำ
การออกกำลังบางชนิดก็อาศัยเครื่องมือช่วยเช่นการใช้รถจักรยาน การวิ่งบนสายพานเป็นต้น แต่การออกกำลังกายของโยคะหมายถึงการบริหารให้กล้ามเนื้อแข็งแรงแล้วยังเป็น การบริหารจิตใจ และจิตวิญาณให้มีพลัง
การฝึกท่าโยคะเรียก Asanas เป็นการฝึกท่าโยคะและค้างท่านั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง
แต่ละท่า..ท่าการฝึกโยคะหรืออาสนะ
การออกกำลังกายเพื่อทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงในปัจจุบันอาจจะอาศัยการออกกำลัง โดยการวิ่งหรือว่ายน้ำ
การออกกำลังบางชนิดก็อาศัยเครื่องมือช่วยเช่นการใช้รถจักรยาน การวิ่งบนสายพานเป็นต้น แต่การออกกำลังกายของโยคะหมายถึงการบริหารให้กล้ามเนื้อแข็งแรงแล้วยังเป็น การบริหารจิตใจ และจิตวิญาณให้มีพลัง
การฝึกท่าโยคะเรียก Asanas เป็นการฝึกท่าโยคะและค้างท่านั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง
1.2) อุปกรณ์สำหรับฝึกโยคะ
Exercise-yoga95: เริ่มต้นฝึกโยคะ
การใช้อุปกรณ์ในการฝึกโยคะก็เพื่อทำให้การฝึกทำได้ง่ายขึ้น เช่นการเปลี่ยนท่า
ท่านไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ครบ ท่านต้องประเมินสิ่งแวดล้อมในการฝึกและสภาพร่างกายของท่าน แล้วตัดสินใจว่าท่านควรจะเลือกซื้ออุปกรณ์ใดหรือจะดัดแปลงใช้ อุปกรณ์ที่ใช้ช่วยในการฝึกโยคะมีดังนี้
การใช้อุปกรณ์ในการฝึกโยคะก็เพื่อทำให้การฝึกทำได้ง่ายขึ้น เช่นการเปลี่ยนท่า
ท่านไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ครบ ท่านต้องประเมินสิ่งแวดล้อมในการฝึกและสภาพร่างกายของท่าน แล้วตัดสินใจว่าท่านควรจะเลือกซื้ออุปกรณ์ใดหรือจะดัดแปลงใช้ อุปกรณ์ที่ใช้ช่วยในการฝึกโยคะมีดังนี้
เสื่อโยคะ
หมายถึงเบาะหรือผ้า หรือพรมปูพื้นเพื่อไม่ให้ตัวเปื้อนฝุ่น หรือลดอาการเจ็บปวดในการกดทับ เสื่อที่ดีไม่ควรจะลื่นเกินเพราะอาจจะทำให้ผู้ฝึกลื่น ความยาวของเสื่อควรจะยาวเท่ากับความสูงของผู้ฝึก เสื่อควรจะเช็ดถูทำความสะอาดได้ง่าย และที่สำคัญคือพับเก็บได้ง่าย1.1) เริ่มต้น ก่อนฝึกโยคะ
เริ่มต้น ก่อนฝึกโยคะ
โยคะสามารถฝึกได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ แต่สำหรับผู้ที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองมีโรคหรือไม่
หรือว่าหากมีโรคประจำตัวควรจะปรึกษาแพทย์ การเริ่มต้นที่ดีจะทำให้การฝึกประสบผลสำเร็จ ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำสำหรับผู้ที่จะเริ่มฝึกโยคะ
ปรึกษาแพทย์
ให้ท่านหอบหนังสือโยคะ และภาพท่าที่ท่านคิดจะฝึกให้แพทย์ดู เพื่อให้แพทย์พิจารณาว่าไม่ควรฝึกท่าใด คำแนะนำสำหรับท่านที่มีโรคความดันโลหิตสูง ต้อหิน ไม่ควรฝึกท่ายืนด้วยไหล่ ยืนด้วยมือหรือยืนด้วยศีรษะ เพราะจะทำให้เพิ่มความดัน
โยคะสามารถฝึกได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ แต่สำหรับผู้ที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองมีโรคหรือไม่
หรือว่าหากมีโรคประจำตัวควรจะปรึกษาแพทย์ การเริ่มต้นที่ดีจะทำให้การฝึกประสบผลสำเร็จ ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำสำหรับผู้ที่จะเริ่มฝึกโยคะ
ปรึกษาแพทย์
ให้ท่านหอบหนังสือโยคะ และภาพท่าที่ท่านคิดจะฝึกให้แพทย์ดู เพื่อให้แพทย์พิจารณาว่าไม่ควรฝึกท่าใด คำแนะนำสำหรับท่านที่มีโรคความดันโลหิตสูง ต้อหิน ไม่ควรฝึกท่ายืนด้วยไหล่ ยืนด้วยมือหรือยืนด้วยศีรษะ เพราะจะทำให้เพิ่มความดัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
123
@@ ฝึกโยคะ ทั้งหมด 21 ท่า @@
- 10} ธนูอาสนะ ท่าคันศร (1)
- 11} อัฒมัสเยนทรอาสนะ ท่าบิดตัว (1)
- 12} จักรอาสนะ ท่ากงล้อ (1)
- 13} โยคะมุทระ ท่านั่งก้มศีรษะ (1)
- 14} มัสยาอาสนะ ท่าปลา (1)
- 15} อัฒภุชงคอาสนะ ท่าครึ่งงู (1)
- 16} สวาหะอาสนะ ท่าสวาหะ (1)
- 17} วัชโรลิมุทระอาสนะ ท่าตะขอ (1)
- 18} อุทกัตอาสนะ ท่าเขย่งย่อ (1)
- 19} ตรีโกณอาสนะ ท่ารูปสามเหลี่ยม (1)
- 1} สุริยะนมัสการ ท่าไหว้พระอาทิตย์ (1)
- 2 วิธีการ การนวดเพื่อสุขภาพ 16-25 (1)
- 20} จัตหาระปริวรรตอาสนะ ท่าหมุนท้อง (1)
- 21} ศพอาสนะ ท่าคนตาย (1)
- 3} สวางคะอาสนะ ท่ายืนด้วยไหล่ (1)
- 4} วัชระอาสนะ ท่าเพชร (1)
- 5} หาละอาสนะ ท่าคันไถ (1)
- 6} ปัจฉิโมททานอาสนะ ท่ายืดส่วนหลัง (1)
- 7} ภุชงคะอาสนะ ท่างู (1)
- 8} ศลาภะอาสนะ ท่าตั๊กแตน (1)
- 9} ชานุ-ศีรษะอาสนะ ท่าหัวถึงเข่า (1)
- สารบัญ ฝึกโยคะ ทั้งหมด 21 ท่า (1)